หากใครกำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับการปรับรูปทรงปาก หรือเกิดความคิดที่ว่า “เติมฟิลเลอร์ปากดีมั้ย? หรือจะผ่าตัดริมฝีปากเลยดีนะ!” แวะมาหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจในบทความนี้กันก่อนนะคะ
การฉีดฟิลเลอร์ปาก
เหมาะกับผู้ที่มีริมฝีปากบาง ขนาดริมฝีปากบนและล่างไม่ได้สัดส่วน ทรงปากคว่ำ ทำให้ดูหน้าบึ้ง หน้าดุ ปากเบี้ยวจากการทำศัลยกรรมปากกระจับ ปากแห้ง เป็นร่อง ขาดความชุ่มชื้น มีขอบปากไม่ชัด แก้ไขได้ด้วยการฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid หรือฟิลเลอร์เข้าไป ซึ่งเป็นสารอุ้มน้ำและมีความคงตัว ทำให้ปากดูมีรูปทรงที่ชัดเจน ขอบปากชัด แก้ปากบางให้ดูหนาขึ้น เพิ่มความอวบอิ่ม ยกมุมปาก บำรุงริมฝีปากให้ดูชุ่มชื้น ทาลิปสวยฉ่ำ ไม่ตกร่อง ริมฝีปากดูมีสุขภาพดี อิ่มฟู สามารถปรับเปลี่ยนทรงได้ตลอดเวลา และเห็นผลลัพธ์หลังทำทันที ไม่ต้องรอพักฟื้น แต่การฉีดฟิลเลอร์ปากต้องมาฉีดซ้ำทุก 8-12 เดือน เนื่องจากฟิลเลอร์จะสลายไปเองตามธรรมชาติ ซึ่งระยะการคงอยู่ของฟิลเลอร์ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาหลังฉีดฟิลเลอร์ของแต่ละคน หรือหากไม่พอใจในผลลัพธ์ที่ได้ สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์เพื่อแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนรูปทรงได้
ผ่าตัดปาก
หรือที่หลายๆคนเรียกว่า “การตัดปากกระจับ” เหมาะกับคนที่มีริมฝีปากหนาแต่รู้สึกอยากมีริมฝีปากที่บางลง ปากบนหนา ปากบนใหญ่ ไม่เป็นทรง คนที่มีทรงปากคว่ำ หรือมีเนื้อปากไม่หนาเกินไป อยากให้เป็นทรงมากยิ่งขึ้น สามารถทำได้ด้วยการศัลยกรรมตัดปากกระจับ เป็นการตัดเนื้อปากของเราออกไปแล้วเย็บด้วยเทคนิคของคุณหมอแต่ละท่านเพื่อให้ได้ทรงปากที่สวยถูกใจแบบถาวร ไม่ต้องเติมหรือแก้บ่อยๆ แต่การตัดปากกระจับนั้นทำได้แค่ปรับแต่งเพื่อลดขนาด ต้องรับความเสี่ยงจากการผ่าตัด หากเกิดข้อผิดพลาดจะแก้ไขได้ยากและมีค่าใช้จ่ายที่สูง ซึ่งการผ่าตัดปากกระจับต้องรอให้แผลสมานตัวนานกว่า 7-9 วัน และอาจต้องใช้เวลามากกว่า 2 อาทิตย์กว่าที่แผลจะหายดี อาจมีรอยนูน รอยแผลเป็นหลังผ่าตัดหรือที่เรียกกันว่าแผลคีลอยด์
ซึ่งรูปทรงของปากและเนื้อปากแต่ละคนไม่เหมือนกัน แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อประเมินว่ารูปทรงปากที่เป็นอยู่ เหมาะจะทำการฉีดฟิลเลอร์ปากหรือการผ่าตัดปากมากกว่ากัน สามารถให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ AWC Wellness Clinic ช่วยวิเคราะห์และประเมินรูปหน้ารายบุคคลเพื่อผลลัพธ์ที่ออกมาดีและโดนใจเรามากที่สุด